ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชายโดยใช้เนื้อหน้าท้อง
(Phalloplasty Technique for FTM)
วิธีการนี้จะต้องผ่าตัดทั้งหมดประมาณ 3 ถึง 4 ครั้งด้วยกัน เริ่มตั้งแต่
1. การม้วนเนื้อหน้าท้องมาไว้ที่เอวเพื่อนำมาทำเป็นท่อปัสสาวะ
2. ผ่าตัดย้ายท่อปัสสาวะที่ทำขึ้นมาใหม่ไปไว้ที่อวัยวะเพศ
3. ผ่าตัดต่อให้มีลักษณะเป็นท่อปัสสาวะยื่นออกมาจากอวัยวะเพศ
4. ฝังแกนอวัยวะเพศชายเทียมซึ่งสามารถกำหนดความยาวได้โดยประมาณ 4 ถึง 5 นิ้ว หรือขึ้นอยู่กับพื้นที่เนื้อหน้าท้อง
โดยศัลยแพทย์จะเลือกใช้ซิลิโคนที่มีการปรับแต่งรูปร่างแล้วมาใส่เป็นอวัยวะเพศเทียมชาย โดยความยาวของซิลิโคนที่นำมาใช้ขึ้นอยู่กับวิธีการสร้างอวัยวะเพศชายเทียม ระยะเวลาการผ่าตัด 2 ชั่วโมงครึ่ง-3 ชั่วโมง
ทั้งนี้เทคนิคการทำศัลยกรรมที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และปัญหาของคนไข้แต่ละราย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจสูงสุด คนไข้จำเป็นต้องเข้ามาปรึกษาเเพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชายโดยใช้เนื้อหน้าท้อง
· มีการผ่าตัดหลายขั้นตอน
· รอยแผลเป็นหายค่อนข้างช้า
· ค่าใช้จ่ายสูง
· คนไข้ต้องทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของการสร้างอวัยวะเพศชายเทียมแต่ละวิธีอย่างชัดเจน เช่น วิธีการสร้างอวัยวะเพศชายเทียมจากคลิตอริสเท่านั้นที่คนไข้จะยังคงมีความรู้สึกทางเพศเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่ขนาดของอวัยวะเพศที่ได้จะมีขนาดแค่ประมาณ 1 นิ้ว
ผู้ที่เหมาะสมในการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชายโดยใช้เนื้อหน้าท้อง
· อายุ 18 ปีขึ้นไป
· ใช้ชีวิตเป็นชายติดต่อกันเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป รวมถึงเคยได้รับฮอร์โมนเพศชายมาก่อนอย่างน้อย 1 ปี
· ผ่านการประเมินสภาพจิตใจและมีใบรับรองจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 ท่าน
· สุขภาพร่างกายแข็งแรง
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชายโดยใช้เนื้อหน้าท้อง
1. คนไข้จะต้องมีจดหมายรับรองจากนักบำบัดจิต หรือจิตแพทย์ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางต่อมไร้ท่อ หรือแพทย์ทั่วไป
2. งดรับประทานหรือฉีดฮอร์โมนก่อนผ่าตัด 2 หรือ 4 สัปดาห์ตามลำดับ เพื่อลดโอกาสเส้นเลือดดำอุดตัน (การงดฮอร์โมนนี้ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์อย่างเคร่งครัด)
3. ตรวจร่างกายโดยละเอียด 3 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ โดยคนไข้จะต้องผ่านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ตรวจเม็ดเลือด HIV เกลือแร่ น้ำตาล การทำงานของตับและไต ตรวจปัสสาวะ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
4. แจ้งโรคประจำตัว อาการแพ้ยา ยาหรืออาหารเสริมที่ใช้ในปัจจุบันก่อนเข้ารับการผ่าตัด
5. งดแอสไพริน (aspirin) ไอบิวโพรเฟน (ibuprofen) และวิตามินอี ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
6. งดสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด 2 สัปดาห์ และหลังผ่าตัด 4 สัปดาห์
7. สำหรับคนไข้ที่ติดเชื้อ HIV สามารถเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศได้ แต่จะต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย 30 % จากปกติเนื่องจากจะต้องใช้อุปกรณ์การแพทย์เป็นส่วนตัว
การใช้ฮอร์โมนก่อนการแปลงเพศ
โดยทั่วไปแล้วก่อนที่คนไข้จะตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศ จิตแพทย์จะต้องทำการทดสอบคนไข้ก่อนว่าพร้อมที่จะใช้ชีวิตเป็นผู้ชายหรือไม่ โดยการให้คนไข้รับฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (Testosterone) ก่อนการผ่าตัด
วัตถุประสงค์หลักของการใช้ฮอร์โมน
· เพื่อเพิ่มลักษณะของเพศชาย ได้แก่ กล้ามเนื้อและเสียงที่ทุ้มต่ำ ลักษณะเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของฮอร์โมน ปริมาณฮอร์โมนที่ได้รับ และการตอบสนองต่อฮอร์โมนจากคนไข้
· หลังจากเริ่มรับฮอร์โมนไปแล้วคนไข้จะมีอาการต่างๆ ได้แก่ ผิวมันและเป็นสิวหลังจากรับฮอร์โมนไปแล้วประมาณ 1 ถึง 3 เดือน หรือเสียงเริ่มทุ้มต่ำหลังจากรับฮอร์โมนไปแล้วประมาณ 3 ถึง 6 เดือน หรือแม้กระทั่งประจำเดือนเริ่มขาดตั้งแต่ 1 ถึง 6 เดือนหลังจากเริ่มรับฮอร์โมน อย่างไรก็ตามยังมีอาการต่างๆ อีกมากที่จะเกิดขึ้นกับคนไข้ ดังนั้นการใช้ฮอร์โมนควรอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ภาวะแทรกซ้อน
· มีอาการติดเชื้อ เลือดออก ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถลดลงได้หากคนไข้ปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลรักษาอย่างเคร่งครัดร่วมกับความชำนาญของศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด
ผลข้างเคียง
· อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งจะต้องกลับมาทำการผ่าตัดซ้ำอีกเพื่อแก้ไขอาการเหล่านี้
การนัดผ่าตัด
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
📞 02-715-0111
(9.00-17.00)
📱 081-813-6144
📧 consult@pai.co.th
Facebook preechasurgery
LINE @paisurgery